“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ กับ การจัดการองค์ความรู้ ในมุมมองของข้าพเจ้า”
“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ กับ การจัดการองค์ความรู้ ในมุมมองของข้าพเจ้า”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ใฝ่พระราชหฤทัยในการศึกษา มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โปรดการศึกษาค้นคว้า
การเรียนรู้จากการสังเกต สิ่งแวดล้อมรอบพระองค์ ต่อมา เมื่อเจริญพระชันษาขึ้น
ด้วยความสนพระทัย และพระปรีชาในการเรียนวิชาการหลากหลายแขนง ทั้งศาสตร์และศิลป์
อีกทั้งการเรียนภาษา จะเป็นพื้นฐานที่ดี สำหรับการเรียนรู้วิชาการสาขาต่างๆ
จึงทำให้ทรงเลือกศึกษา ในระดับปริญญาตรี และปริญญาโทด้านอักษรศาสตร์
และต่อมาได้ทรงศึกษาต่อ ระดับปริญญาเอก ในหลักสูตรวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์
ซึ่งเป็นการนำความรู้ด้านการศึกษา ประกอบกับความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ
มาร่วมกันใช้ประโยชน์ เพื่อพัฒนาประเทศ จากการที่ทรงเห็นความสำคัญ ของศาสตร์ต่างๆ
นี้เอง จึงสนพระทัยศึกษาหาความรู้ และติดตามความก้าวหน้าของความรู้ ในด้านอื่นๆ
อยู่เสมอ
จาก “ประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นวิชาการสาขาแรก ที่ทรงเลือกเรียน
ในระดับปริญญาตรี และยังเป็นวิชาการ ที่ทรงใช้ในการทรงงาน เมื่อทรงเข้ารับราชการ
เป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สนพระทัยศึกษาวิชาการด้านอื่นๆ
เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งทรงศึกษาด้วยพระองค์เอง และจากบุคคล
หน่วยงานและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนทรงสามารถนำความรู้นั้น
มาปรับใช้ในการทรงงานได้ ทรงเห็นว่าความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ ของความเป็นครู
และนักการศึกษาที่ดี จึงทรงเชื่อมโยงความรู้ ของศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน
ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ อันเป็นประสบการณ์ ที่ทรงนำไปใช้ประโยชน์
ในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ
แนวพระราชดำริในงานด้านต่างๆ
ยังก่อเกิดการนำไปปรับใช้ เพื่อพัฒนาชุมชน ทั้งโดยทางตรง และทางอ้อม
พระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ครอบคลุมงานด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาจจำแนกได้ดังนี้
พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนา
"…แวดวงชีวิตของฉันแต่ไหนแต่ไรมามีอยู่สองประการคือ
วงการวิชาการ แวดวงของครูบาอาจารย์ ผู้รู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ
ทั้งในสายศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยี กับอีกวงการคือ
เรื่องของการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้า
งานที่เห็นพ่อแม่ทำมาตลอดตั้งแต่รู้ความคือ การทำให้แผ่นดินและทุกคนในแผ่นดินมีความเจริญรุ่งเรือง
เน้นหนักในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่มีความทุกข์ยาก
เราคลุกคลีอยู่กับคนที่ลำบากยากแค้น หาทางบรรเทาความเดือดร้อนของคน …."
งานวิชาการ และงานพัฒนา
จึงเป็นพระราชกรณียกิจหลักที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงงานควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา
ทรงเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
ฯ พระบรมราชินีนาถไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องที่ทุรกันดารห่างไกลการคมนาคม
ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก มีโอกาสได้รับบริการของรัฐน้อย
และต้องประสบภัยอันตรายจากโจรผู้ร้ายและการสู้รบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารี
ทรงมีหน้าที่ในการสัมภาษณ์ประชาชนเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เช่น
การประกอบอาชีพให้เกิดรายได้ การรักษาพยาบาล การศึกษา การแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่าง
ๆ สำหรับแนวทางที่มีพระราชวินิจฉัยเพื่อช่วยเหลือ
ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในบทความเรื่อง "โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน"
พระราชทานเพื่อลงพิมพ์ในหนังสือ "๔๐ ปี โรงเรียน ตชด." เมื่อวันที่ ๒๗
มีนาคม ๒๕๓๙ ความตอนหนึ่งว่า
"…เราใช้เกณฑ์ว่า สิ่งใดที่เราพอจะช่วยเหลือเขาได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนกับคนอื่นเราก็ช่วย
รายที่ต้องช่วยก่อน คือรายที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เพราะมองเห็นได้พอสมควร
ถ้าพอมีประสบการณ์ก็จะทราบว่าคนไหนเจ็บป่วย เรื่องนี้เสแสร้งได้ยาก
การที่ได้รู้ได้เห็นอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ว่า
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆให้ได้…"
จากการที่ได้ทรงเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในสภาพภูมิศาสตร์ต่าง
ๆ ได้ทรงพบปะบุคคลหลายฝ่าย ได้ทรงเรียนรู้วิธีการทำงานในพื้นที่
วิธีการวินิจฉัยปัญหาและแก้ไขปัญหาตามสภาพแวดล้อมจริง
จึงได้ทรงนำความรู้และประสบการณ์นานาที่ทรงได้รับเหล่านั้น มาจัดทำโครงการต่าง ๆ
ตลอดจนพระราชทานแนวพระราชดำริให้หน่วยงานหรือคณะบุคคลไปจัดทำ โครงการตามพระราชดำริ
ฯ จำนวนมาก ทั้งด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต โภชนาการ การศึกษา
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนา
นิยามของ "การพัฒนา"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ
พระบรมราชินีนาถได้ทรงปฏิบัติมาก่อน การพัฒนา หมายถึง การทำให้ดีขึ้น
ทำให้เจริญขึ้นให้ก้าวหน้าขึ้น รวมทั้งการยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น
ดังที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๘ ความตอนหนึ่งว่า
"...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น
เห็นจะเป็นเพราะความเคยชิน
ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็เห็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ
พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีต่าง ๆ
ที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น
ได้ตามเสด็จเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็คิดว่าช่วยอะไรควรช่วย
ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ
โดยทำตามพระราชกระแส หรือทำตามแนวพระราชดำริ
การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องทำประจำอยู่แล้ว..."
ความหมายของข้อความ
การยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น หมายถึง
จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม เน้นที่
"ความเป็นอยู่ของคนไทย"
คือสภาพทั้งหลายทั้งปวงที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทย ทั้งสภาพความเป็นอยู่ทางสังคม
และเศรษฐกิจ
การดำเนินงานพัฒนาส่วนใหญ่จึงมุ่งไปสู่ประชาชนในชนบทที่มีปัญหาความขาดแคลน
ทุรกันดาร โดยในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ทรงมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาชนบทไทยว่า
"...คนไทยเป็นจำนวนมากอาศัยอยู่ในชนบท
เมื่อมีคนอยู่มากย่อมมีปัญหามากเป็นธรรมดา ปัญหาชนบทเกี่ยวเนื่องด้วยการดำเนินชีวิตของประชาชนและการทำมาหากิน
ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ในชนบทจะประกอบอาชีพขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ที่ดิน
นำ พันธุ์พืช แรงงาน ดินฟ้าอากาศ และตลาด ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดแคลน
รายได้ก็จะน้อย ผลิตอาหารได้ไม่พอกิน อันเป็นผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ เช่น
สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีเรี่ยวแรงทำงาน ไม่มีโอกาสเข้ารับการศึกษา
อันจะทำให้พัฒนาตนเองได้ยาก เมื่อหมดหนทางหากิน
ผู้ที่อยู่ในชนบทก็มักจะหาทางเข้าสู่เมือง และต้องผจญปัญหาต่าง ๆ อีก ฉะนั้น
การแก้ปัญหาชนบทจึงเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาทั้งชนบทและปัญหาในเมือง..."
เมื่อมองอีกนัยหนึ่ง
ก็จะเห็นเป้าหมายของการพัฒนา คือ การพัฒนาคน ให้มีคุณภาพ มีความรู้ มีคุณธรรม
เป็นพลเมืองดีของประเทศ
ดังที่ได้พระราชทานพระราโชวาทแก่คณะผู้ปฏิบัติงานโครงการตามพระราชดำริ
ในพุทธศักราช ๒๕๔๒ และ ๒๕๔๓ ตามลำดับ ซึ่งได้เชิญมาบางส่วน ดังนี้
"...การปฏิบัติงานอย่างที่เราทำกันอยู่
คือเพื่อให้เยาวชนของชาติมีสุขภาพอนามัยที่ดี
มีความรู้ความสามารถที่จะรู้ทั้งทางด้านวิชาการ ทั้งการงานอาชีพ
เพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์ เป็นทรัพยากรหรือเป็นกำลังสำคัญของชาติ..."
"...เราต้องการให้ทุกคนมีความมั่นคง
มีความเป็นสุข อยู่ดีกินดี มีโอกาสในชีวิตที่จะได้รับความรู้แล้วก็ฝึกฝนความสามารถ
สามารถที่จะสร้างความก้าวหน้าให้แก่ตัวเองได้ให้เท่าเทียมกันทุกคน
อันนี้จะเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งได้..."
แนวคิดของงานพัฒนา
จากพระราชดำรัสและพระราชนิพนธ์ที่ได้พระราชทานในวาระต่าง
ๆ รวมทั้งการดำเนินงานกิจกรรมหรือโครงการตามพระราชดำริ ฯ
สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองและแนวคิดที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารีทรงมีต่องานพัฒนา ดังนี้
- งานพัฒนาสังคมในแบบผสมผสานศาสตร์ต่าง ๆ
เข้าด้วยกัน ทรงเห็นว่านักพัฒนาจึงควรมองและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างรอบด้าน
คิดหาวิธีการพัฒนาโดยนำวิทยาการที่เหมาะสมมาปรับใช้ในงานพัฒนา กล่าวโดยสังเขป
ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร สาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศ
นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมศาสตร์ เช่น การศึกษาพฤติกรรมชุมชน การสหกรณ์
การจัดการชุมชน ด้านมนุษยศาสตร์ เช่น การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาจิตสำนึก
คุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น
- "ความสมดุล" ของการพัฒนา
ทรงเห็นว่าการพัฒนาควรคำนึงถึงความสมดุลในทุก ๆ มิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม
สภาพแวดล้อม เทคโนโลยีสมัยใหม่ และภูมิปัญญาท้องถิ่น
ดังที่ได้ทรงเล่าพระราชทานไว้ใน "ทัศนะจากอินเดีย" ความตอนหนึ่งว่า
"...โดยทั่ว ๆ ไป
ถ้าเราช่วยในด้านการทำมาหากิน ความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัยก็ดีขึ้น
เราช่วยควบคู่ไปในเรื่องให้ความรู้ทางด้านสาธารณสุข การให้การศึกษา
มีบางครั้งที่เราเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเห็นว่าเป็นความเป็นอยู่ที่ไม่ดี
แต่ก็เป็นความเคยชินและวัฒนธรรม ความสุขของเขาเช่นนั้น
เช่นบ้านชาวเขาจุดไฟอยู่ในบ้าน
ความยากของการพัฒนาคือจุดไหนจะเป็นความพอดีระหว่างการพัฒนากับการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม..."
และได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา
เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ความตอนหนึ่งว่า
"...เทคโนโลยีสารสนเทศ
หากนำมาใช้ให้ถูกวิธีก็จะสามารถสร้างพลัง ความเข้มแข็ง ให้แก่บุคคล ชุมชน
และสังคมได้
เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้ที่มีอยู่มากมายไร้ขอบเขตจำกัด
ความรู้เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนา ความรู้ช่วยสร้างงานสร้างรายได้
ช่วยให้คนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตน สังคม และประเทศชาติ...
...อย่างไรก็ตาม
การมีเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่อาจเพียงพอที่จะสร้างความเข้มแข็งได้
หากผู้คนหรือสังคมไม่รู้จักวิธีการใช้
ขาดสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือขาดความพร้อม อันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ
สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม ดังนั้นความสำคัญจึงอยู่ที่ "ความสมดุล"
ของการพัฒนา ที่ควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วนในทุกมิติ
เพื่อสร้างความพร้อมและลดข้อจำกัด
อันจะทำให้ผู้คนหรือสังคมเหล่านั้นได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเต็มศักยภาพ..."
ปรัชญาของงานพัฒนา
ในปาฐกถาที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารีทรงบรรยาย ณ มูลนิธิแม็กไซไซ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๔
ได้ทรงเล่าถึงประสบการณ์การทรงงานพัฒนาในประเทศไทย และ
"ปรัชญาในการทำงาน" สรุปใจความพอสังเขปได้ดังนี้
- งานพัฒนาเป็นงานที่ต่อสู้กับความขาดแคลน
ทุกข์ยาก ความยากจน และความหิวโหย อันเป็นสภาวะทางกายภาพที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
มิใช่ต่อสู้กับความคิดความเชื่ออันเป็นนามธรรม
และเป็นงานระยะยาวที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ดังเช่นที่ปรากฏในข้อความที่สลักในเหรียญที่ระลึก "เซเรส" ("CERES")
อันเป็นเหรียญที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food
and Agriculture Organization of the United Nations) ทูลเกล้า
ฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๑ ว่า
"ให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง" ("To give without
discrimination") โดยทรงหมายความว่า
จะต้องเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้คนโดยถ้วนหน้า
- ในการช่วยเหลือประชาชน
นักพัฒนาจะต้องมองชีวิตหลายแง่ ได้แก่
สุขภาพอนามัย : ด้านอนามัยทั่วไป ด้านโภชนาการ
การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
การศึกษา : เด็กทุกคนควรมีโอกาสได้เรียนให้สูงที่สุดตามศักยภาพ
ดังนั้น เมื่อพบว่าพื้นที่ใดยังมีเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา
จะต้องจัดให้มีสถานที่เรียน จัดหาหนังสือ อุปกรณ์การเรียนการสอน เครื่องนุ่งห่ม
ทุนการศึกษาทั้งสำหรับเด็กที่มีความสามารถและเด็กทั่วไป
อาชีพ : การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์
การฝึกทักษะวิชาชีพด้านต่าง ๆ และการส่งเสริมอาชีพงานฝีมือและหัตถกรรมท้องถิ่น
งานสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน :
สร้างความผูกพันกับท้องถิ่นบ้านเกิด ส่งเสริมการรวมกลุ่ม
และสร้างจิตสำนึกช่วยเหลือตนเอง
ปรัชญาการทรงงานดังกล่าว
สะท้อนให้เห็นได้จากการที่มิได้ทรงจำกัดขอบเขตการพัฒนาอยู่เฉพาะ การพัฒนาชุมชนชนบท
ที่มีปัญหาความอดอยากยากจนเป็นที่ประจักษ์ชัด แต่ยังครอบคลุมถึง
การพัฒนาสังคมเมือง ที่มีปัญหาซับซ้อน ละเอียดอ่อนแตกต่างกันออกไป อาทิ
การพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตสำหรับผู้พิการ ผู้ต้องขังในทัณฑสถาน และสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม
การพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียน
การพัฒนาห้องสมุดและการศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น
วิธีการทำงาน
นอกจากนี้ ยังทรงมี "วิธีการทำงาน"
ที่นักพัฒนาทั่ว ๆ ไปอาจจะขอพระราชทานนำไปใช้เป็นเคล็ดลับในการทำงานได้เป็นอย่างดี
- รู้วิธีการซักถามและสัมภาษณ์ชาวบ้านเพื่อหาข้อมูล
ควรคิดประเด็นที่จะซักถามไว้ล่วงหน้าและจัดลำดับเรื่องที่สำคัญกว่าไว้ลำดับแรก ๆ
เนื่องจากอาจมีเวลาจำกัด
รู้จักวิธีพูดคุยอย่างเป็นกันเองเพื่อให้ผู้ตอบกล้าพูดกับเราอย่างเปิดเผย
ต้องมีความคิดและความสามารถที่จะหาวิธีแก้ปัญหาในท้องถิ่น
ซึ่งอาจมีโจทย์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
ต้องสามารถรักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง
ไม่เจ็บป่วยง่าย สามารถเดินหรือปีนเขาเพื่อสำรวจพื้นที่ ตรวจโครงการต่าง ๆ ได้
อยู่ง่าย กินง่าย ทนเหนื่อย ทนหิวได้
- รู้จักมีมนุษยสัมพันธ์ รู้จักทั้งคนที่เราต้องช่วยเหลือ
และทั้งบุคคลหรือหน่วยงานที่จะร่วมมือกับเราได้
- รู้จักรวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่ง
รวมทั้งจดหมายหรือคำร้องทุกข์
- ร่วมสนุกไปกับวิถีชีวิตของชาวบ้านได้อย่างกลมกลืน
ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เต้นรำ รับประทานอาหารร่วมกัน
การจัดตั้งศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาในพื้นที่
เพื่อเป็นต้นแบบในการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ชาวบ้าน
การอนุรักษ์ระบบนิเวศน์และสภาพแวดล้อมทั้งในเมืองและชนบท
มลพิษทางนำ มลพิษทางอากาศ สนับสนุนโครงการด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น
กังหันนำชัยพัฒนา การปลูกป่าทดแทน ป่าชุมชน เป็นต้น
หลักการในการพัฒนา
- การเสริมสร้างขีดความสามารถและการพึ่งตนเอง
สำหรับประชาชนในท้องถิ่นชนบทที่ทุรกันดาร
มีพระราชดำริว่าการช่วยเหลือประชาชนอย่างยั่งยืน
คือการช่วยเหลือแบบให้เขาช่วยตนเองได้ด้วย จึงทรงส่งเสริมให้ประชาชนเป้าหมายเหล่านี้
มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะ ความสามารถของตนให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งเด็กนักเรียน
และราษฎรทั่วไป ทั้งการเรียนในระบบและนอกระบบ ทั้งวิชาการและวิชาชีพ
เพื่อให้พวกเขารู้จักการพึ่งตนเอง และพัฒนาตนเองได้ โดยพึ่งพาปัจจัยภายนอกให้น้อยที่สุด
การประสานความร่วมมือ ในการปฏิบัติงานในพื้นที่
ทรงเน้นการร่วมมือประสานงานกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน
องค์กรต่างประเทศหรือระหว่างประเทศ
ด้วยทรงเห็นว่าแต่ละภาคส่วนจะมีความชำนาญในแต่ละด้าน
หากสามารถนำจุดเด่นของแต่ละภาคส่วนมารวมกัน ก็จะทำให้งานพัฒนาก้าวหน้า
สำเร็จลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายได้
- การมีส่วนร่วมของประชาชน
ทรงเห็นว่างานพัฒนาที่มุ่งหวังผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ เท่านั้น
แต่ประชาชนผู้ได้รับผลประโยชน์ในพื้นที่เองควรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของตนเอง
เป็นการปฏิบัติงานร่วมกัน มีการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
กระตุ้นให้เกิดความคิดและความรู้สึกรับผิดชอบต่อปัญหาของชุมชน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
มีพระราชปณิธานมุ่งมั่นในการทรงงานพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น
มีความสนพระทัยในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในงานพัฒนาและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
และใฝ่พระทัยศึกษาวิชาการสาขาใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการทรงงาน
ด้วยทรงเห็นว่า งานพัฒนาเป็นภารกิจที่ไม่หยุดนิ่ง มีโจทย์ปัญหาใหม่ ๆ
มาท้าทายนักพัฒนา เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทำให้นักพัฒนาจะต้องรู้จักค้นคว้าหาความรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอเช่นเดียวกัน
และต้องพิจารณาทบทวนการทำงานเพื่อหาแนวทาง เทคนิควิธีใหม่ ๆ
ที่จะนำมาใช้ปรับปรุงวิธีการดำเนินงานพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้านการศึกษา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงเริ่มต้นการศึกษาระดับอนุบาล เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ ณ โรงเรียนจิตรลดา
ในเขตพระราชฐาน พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต โดยทรงศึกษา
ต่อเนื่องไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา ตลอดระยะเวลาที่ทรงศึกษา
ทรงเอาพระทัยใส่ในการเรียน โปรดการอ่าน และการศึกษาวรรณคดี
ทั้งของไทยและต่างประเทศ ทรงเริ่มแต่งคำประพันธ์ต่าง ๆ ทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง
ตั้งแต่ยังทรงศึกษา ในชั้นประถมศึกษา โปรดการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน
ทั้งด้านกีฬา ดนตรี บันเทิง และกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ณ
โรงเรียนจิตรลดา ณ โรงเรียนจิตรลดา
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษา
ประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย ในแผนกศิลปะ จากโรงเรียนจิตรลดา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๖
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสอบเข้าศึกษาต่อ ในระดับอุดมศึกษา
ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะมีพระราชภารกิจ โดยเสด็จพระราชดำเนิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ
ไปเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ แต่ก็ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ในการเรียนอย่างยิ่ง
และยังทรงร่วม กิจกรรมของคณะ และของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนิสิตทั่วไป
ในปีการศึกษา ๒๕๑๙ ทรงสำเร็จการศึกษา และทรงเข้ารับพระราชทานปริญญา
อักษรศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ณ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในพุทธศักราช ๒๕๒๐
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสมัครเข้าศึกษาต่อ ระดับมหาบัณฑิต
ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกันทั้งสองแห่ง
ทรงสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก
จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปีการศึกษา ๒๕๒๒ หลังจากนั้น ทรงสำเร็จการศึกษา
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาบาลี - สันสกฤต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีการศึกษา
๒๕๒๔ ต่อมา ด้วยความสนพระทัยงานด้านการพัฒนา โดยอาศัยหลักวิชาการศึกษา
หรือการเรียนรู้เป็นแกน จึงทรงสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต ณ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทรงสำเร็จการศึกษา และรับพระราชทานปริญญา
การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์ในปีการศึกษา ๒๕๒๙
หลักคิดในการใช้การศึกษาเป็นปัจจัยหลักในการสร้าง
และพัฒนาความรู้ ความคิดของประชาชน และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน และสังคม
ที่ทรงได้รับจากการศึกษา ในระดับดุษฎีบัณฑิต ผนวกกับประสบการณ์ ที่ทรงเรียนรู้
จากการโดยเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงเป็นพื้นฐานความรู้ที่แข็งแกร่ง ในการทรงงานพัฒนา ของพระองค์เอง ในเวลาต่อมา
จวบจนปัจจุบัน
นอกเหนือจากการศึกษาในระบบ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ยังสนพระทัยศึกษาเพิ่มเติม ดูงาน
ประชุมสัมมนา และฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มพูนทักษะ ความรู้
ในวิชาการด้านอื่น ๆ อีกหลายด้าน เช่น ภูมิศาสตร์กายภาพ อุทกศาสตร์ พฤกษศาสตร์
การจัดการทรัพยากรดินและน้ำ รีโมตเซนซิ่ง ระบบภูมิสารสนเทศ แผนที่ โภชนาการ
เป็นต้น ด้วยมีพระราชประสงค์ ที่จะนำความรู้ที่ได้จากวิชาการเหล่านี้
ไปประยุกต์ใช้ในการทรงงานพัฒนาชุมชน และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฏร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น